วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

►Old trafford◄

สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 
ย้อนกลับไปกว่าหนึ่งศตวรรษที่แล้ว "แทร็ฟฟอร์ด ปาร์ค" ซึ่งตอนนั้น มีสถานะเป็นเพียงผืนแผ่นดินว่างเปล่าบนนิคมอุตสาหกรรม แทร็ฟฟอร์ด พาร์ค ถูกซื้อด้วยเงินจำนวน 60,000 ปอนด์ และนำมาเนรมิตให้กลายบ้านแห่งใหม่ของสโมสร สนาม "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" ที่ทุกวันนี้ได้แปรสภาพเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลชั้นดีที่สุดในโลกของเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ มีความจุผู้ชมได้ สูงถึงกว่า 80,000 คน และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของ "โรงละครแห่งความฝัน" หรือ "Theatre of Dream"
เมื่อครั้งที่สมัยยอดทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังใช้ชื่อเดิมว่า "นิวตัน ฮีธ" พวกเขายังเป็นเพียงสโมสรฟุตบอลเล็กๆ ทีมหนึ่ง ซึ่งได้เข้าร่วมแข่งขัน ฟุตบอลลีกในปี 1892 และมีสนามเหย้าที่เข้าขั้นแย่ที่สุดอย่าง "นอร์ท โร้ด" ในมอนซอลล์ ซึ่งสนามมีสภาพราวกับปลักโคลน และห้องแต่งตัวก็อยู่ห่างไกลออกไปกว่าครึ่งไมล์ที่ผับ ทรีคราวน์ส
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ย้ายสนามจาก "นอร์ท โร้ด" มาสู่ "แบงค์ สตรีท" นั้น แต่ทั้งสองสนามก็มีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก และก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์กันว่าพื้นสนามนั้นย่ำแย่มากเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้ ประธานสโมสร จอห์น เดวี่ส์ จึงได้ตัดสินใจย้ายห่างจากตัวเมืองไปอีก 5-6 ไมล์ ที่นั่นคือ "แทร็ฟฟอร์ด พาร์ค" ย่านชานเมือง แมนเชสเตอร์
"โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" เริ่มออกมาให้ได้ยินกันเป็นครั้งแรกในระหว่างฤดูกาล 1909/10 โดยพื้นที่ซึ่งใช้ในการสร้างสนามนั้นซื้อโดยบริษัทแมนเชสเตอร์ บริวเวอรี่ (จอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์) และให้สโมสรเช่าต่ออีกที เดวี่ส์เองเป็นคนจ่ายเงินค่าก่อสร้างด้วยเงินจำนวน 60,000 ปอนด์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 1908 ภายใต้การควบคุมของอาร์ชิบัลด์ ลีทช์ สถาปนิกชื่อดัง เมื่อย่างเข้าปี 1910 สโมสรก็ขนย้ายข้าวของจากสนามเดิมที่แบงค์สตรีทเข้ามาปักหลักที่นี่แทน และเนรมิตให้กลายบ้านแห่งใหม่ของสโมสร สนาม "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" มีความ จุผู้ชมได้สูงถึง 80,000 คน 
โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปี1926

"โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" เริ่มเปิดประตูต้อนรับแฟนบอลเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1910 แต่ก็เป็นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักเมื่อทีมพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล 4-3 ในช่วงนั้นแฟนบอลส่วนใหญ่ต้องยืนดูเกมการ แข่งขัน แต่ก็ถือเป็นความความสำเร็จ ของสนามแห่งใหม่ที่สามารถรองรับคนดูได้ถึง 80,000 คนในเกมดังกล่าว ถึงยังเป็นสังเวียนฟาดแข้งที่ให้ความสะดวกสบาย แฝงด้วยความหรูหราโดยไม่มีสนามแห่งใดในยุคเดียวกันจะเทียบเท่าได้ ไม่ว่าจะในเรื่อง เก้าอี้พับเก็บได้ มีห้องจิบน้ำชา และคนคอยบริการชี้ทาง พาไปหาที่นั่ง พร้อมทั้งยังมีห้องเล่นเกม โรงยิม และอ่างอาบน้ำขนาดยักษ์ สำหรับนักเตะอีกด้วย
หลังจากรองรับฝูงชนมากหน้าหลายตามาเป็นระยะเวลา 30 ปี "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" ก็ห่างหายจากเกมลูกหนังอยู่เกือบ 1 ทศวรรษเต็มๆ รวมถึงฟุตบอลลีก ต้องหยุดชะงักหลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 จากนั้นในคืนวันที่ 11 มีนาคม ปี ค.ศ. 1941 "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" ก็ต้องพังทลายลงหลังโดนกองทัพอากาศของเยอรมัน ทิ้งระเบิดใกล้ๆ กับนิคมอุคสาหกรรม แทร็ฟฟอร์ด พาร์ค ระเบิดหลายลูกตกลงที่สนาม "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" อัฒจันทร์ เมน สแตนด์ ถูกทำลายย่อยยับ เช่นเดียวกับตัวพื้นสนามก็ได้รับความเสียหาย ไปด้วย หลังสิ้นสุดสงครามรัฐบาลอังกฤษ ได้มอบเงินให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำนวน 22,278 ปอนด์ เพื่อบูรณะสนามขึ้นใหม่ ระหว่างนั้นเอง ทีมปีศาจแดงต้องย้ายไปเล่นที่ "เมน โร้ด" สนามของทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นานถึง 4 ปี
แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการสนามใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมเพื่อรองรับผู้ชมจำนวน 120,000 คน ให้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่มีงบประมาณพอที่จะก่อสร้างได้ ซึ่งทำได้เพียงแค่สร้าง เมน สแตนด์ ขึ้นใหม่แทนที่ของเดิมที่ถูกทำลายเท่านั้น ในวันที่ 24 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1949 ทีมปีศาจแดงได้กลับมายังถิ่นของพวกเขาอีกครั้ง ท่ามกลางฝูงชนกว่า 41,000 คน และสามารถเอาชนะ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ได้ในเกมนัดแรกของรอบ 10 ปีที่กลับมาเล่น ณ สนามแห่งนี้
"โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปี1950-1966 "

นับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1957 "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" เริ่มสว่างไสวบนเวทีลูกหนังยุโรป เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สิทธิเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลยุโรป เกมกลางสัปดาห์ซึ่งต้องเล่นในช่วงเย็น นั่นหมายถึงพวกเขาต้องมีไฟสนาม และเกมนัดแรก ภายใต้แสงไฟคือก็คือเกมลีก เมื่อ 25 มีนาคม ปี ค.ศ. 1957 ในขณะที่ทีใหญ่อย่าง รีล มาดริด คือ ทีมแรกจากยุโรปที่มาเล่นภายใต้ไฟสนามใหม่ชั้นยอดที่นี่

นอกจานั้น แฟนบอลรุ่นเก๋าคงยังจำได้ดีถึงความรู้สึกที่เปียกปอนไปด้วย เม็ดฝนพร้อมๆ กับนักเตะในสนาม เพราะอัฒจันทร์ "สเตรตฟอร์ด เอนด์" ชื่อดัง ไม่มีแม้หลังคาไว้บังแดดบังฝน จนกระทั้งใน ปี ค.ศ. 1959 การจัดแข่งขันฟุตบอลโลก ณ สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดทำให้สนามได้รับการปรับ ปรุงให้ทันสมัยมากขึ้นในช่วงยุค 60 อัฒจันทร์แบบแคนติลิเวอร์ (แบบอย่างต้นกำเนิดของอัฒจันทร์ในปัจจุบันที่ไม่ต้องใช้เสาค้ำยันให้บังทัศนียภาพในเกมการแข่งขัน) ถูกเปิดใช้ใน ปี ค.ศ. 1964 ด้วยงบประมาณในก่อสร้าง จำนวน 350,000 ปอนด์ ขณะที่แฟนบอลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มเพิ่มมากขึ้นตามความจุของสนาม
  โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปี1990 

ใน ปี ค.ศ 1992 ประเพณีการยืนเชียร์เกมการแข่งขันฝั่ง "สเตรตฟอร์ด เอนด์" มาถึงจุดสิ้นสุดลง เมื่อมันถูกบูรณะใหม่และแทนที่ด้วยเก้าอี้นั่ง จนกระทั่งใน ปี ค.ศ. 1994 สนาม "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" ก็กลายเป็นสนามที่นั่งทั้งหมดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยที่ความจุสำหรับแฟนบอลกลับลดลงไป ดังนั้นความจุแค่ 43,000 ที่นั่ง ย่อมไม่เพียงพอแน่ต่อความต้องการของแฟนบอลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหานี้ อัฒจันทร์ ฝั่ง นอร์ท สแตนด์ ก็ถูกปรับปรุงใหม่ในฤดูกาล 1995/96 ถึงตอนนั้นความจุของสนามเท่ากับ 56,387 ที่นั่ง แต่มีแฟนบอลอีกจำนวนหนึ่ง ไม่พอใจเกี่ยวกับสแตนด์ใหม่นี้กับความสูงในระดับ 48 เมตร

โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปี2000 

ในปัจจุบัน ทีม แมนฯ ยูไนเต็ด มีสนามใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 28 ล้านปอนด์ ยูฟ่า ซึ่งเป็นองค์กรควบคุมเกมฟุตบอลของยุโรป เรียก "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" ว่าเป็นสนามที่ดีที่สุดในอังกฤษ และใช้รองรับเกมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 96 ถึง 5 นัด แต่ด้วยความสำเร็จในช่วงทศวรรษที่ 90 จำนวนแฟนบอลที่ต้องการเข้าชมเกมมีมากขึ้น ปลายฤดูกาล 1999/2000 อัฒจันทร์ฝั่ง อีสต์ สแตนด์ ได้ถูกปรับปรุงใหม่จนสามารถเพิ่มความจุผู้ชมเป็น 61,000 ที่นั่ง หลังจากนั้นต้นฤดูกาล 2000/01 อัฒจันทร์ฝั่ง สเตรตฟอร์ด เอนด์ ก็ได้ถูกปรับปรุงใหม่เช่นกันโดยเพิ่มที่นั่งเป็น 2 ชั้น จนกระทั่งปัจจุบันความจุของสนามสุทธิคือ 68,217 ที่นั่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสโมสรฟุตบอลทั้งหมดในเกาะอังกฤษ
ภาพภายใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

แม้จะครองสถิติเป็นสนามที่มีความจุใหญ่ที่สุดบนเกาะอังกฤษในปัจจุบัน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังมี แผนการขยายความจุผู้ชมของสนาม "โอล์ด แทรฟฟอร์ด" ในอนาคตให้เป็น 90,000 ที่นั่ง ที่มุมสนามทั้ง 2 มุม ของอัฒจันทร์ฝั่ง นอร์ท สแตนด์ ต่อกันกับ สเตรตฟอร์ด เอนด์ และ อีสต์ สแตนด์ โดยที่อัฒจันทร์ฝั่ง เซาธ์ สแตนด์ แต่การขยายความจุนั้นต้องถือว่าเป็นไปได้ยากเพราะอยู่ใกล้กับทางรถไฟ ซึ่งเคยมีผู้เสนอให้ขยายโดยสร้างอัฒจันทร์ชั้นที่ 3 คร่อมทางรถไฟ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมสมัยใหม่และมีค่าใช่จ่ายที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนแฟนบอลที่เพิ่มขึ้นมากมายจากทั่วทุกมุมโลกที่ต่างปรารถนาจะมาชมเกมการแข่งขัน ณ โรงละครแห่งความฝัน ไม่แน่ว่าเราอาจได้เห็นรูปลักษณ์ใหม่ของ "โอล์ด แทร็ฟฟอร์ด" ในอนาคต ที่อาจเป็นสนามฟุตบอลแห่งแรกในโลกที่มีอัฒจันทร์คร่อมรางรถไฟก็เป็นได้




วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

►Disneyland◄



การก่อสร้างดิสนีย์แลนด์แห่งแรกนี้ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 1954 บนพื้นที่ป่าส้มขนาด 160 เอเคอร์ แน่นอนว่า ทุกสิ่งไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นตามแผนที่วางไว้ ปัญหาที่ไม่คาดคิดหลายอย่างเกิดขึ้น เช่น ตอนสร้างแม่น้ำแห่งอเมริกา (River of America) ทุกคนตื่นเต้นมากที่ได้เห็นน้ำไหลเข้ามาครั้งแรก แต่แล้วความสุขกลับกลายเป็นความเศร้าเมื่อน้ำซึมลงดินไปหมด หลังจากการทดลองหลายครั้ง ดินเหนียวจึงถูกนำมาใช้ในการการปัญหานี้ บางครั้งวอลซ์ไม่ชอบงานที่นักออกแบบของสตูดิโอทำมา เขาก็จะทำมันด้วยตัวเอง เช่น เกาะของ Tom Saywer วอลซ์คิดว่านักออกแบบไม่เข้าใจไอเดีย เขาจึงนำแผนกลับไปบ้าน และวันต่อมาก็มีแบบมาอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ ดิสนีย์แลนด์ แยกตัวจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ เมื่อกำแพงสูง 20 ฟุตถูกสร้างขึ้นโดยรอบ ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นรางรถไฟดิสนีย์แลนด์ ความคิดดั้งเดิมเพียงความคิดเดียวจากไอเดีย Magical Little Park ของดิสนีย์ ใช้เวลาสร้างเพียงปีเดียว ดิสนีย์แลนด์ก็พร้อมที่จะเปิดตัว จากสวนสนุกแห่งเวทย์มนต์เล็ก ๆ (The magical little park) กลายเป็น อาณาจักรแห่งเวทย์มนต์ (Magical Kingdom) ทุนสร้าง 17 ล้านดอลลาห์ ความฝันของวอลซ์กลายเป็นจริงในที่สุด และสวนสนุกดิสนีย์แลนด์แห่งแรกก็เปิดตัวขึ้นในวันที่ 17 ก.ค.ปีค.ศ. 1955 ที่ Anaheim รัฐแคลิฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา  







Well, Disneyland began as a Dream. A young boy with a love of trains and fantasy who lived in a rural town; grew up to be the person everyone has heard of at one time or another: Walt Disney. Yes of course, Disneyland was his dream… and then his reality. Here is how Walt Disney got his beloved Disneyland started.

In 1923 Walt Disney and his brother Roy formed Walt Disney Studios. 

In the early 1950's Walt got the idea for his very own Mickey Mouse Park. While the theme park was Walt's idea (and at times Roy thought he was crazy) they went on together with the plan although Roy never hesitated to make his feelings known. Roy simply didn't trust the project and was concerned about failure. It was Roy Disney, not Walt, who was able to make a deal with ABC television (they having their own problems at the time) to show the weekly television project Disneyland which allowed them to finance Disneyland.

Disneyland opened for the press, selected friends, and some family members on July 17, 1955 but there was a long hard road of work before opening day.


Walter E. Disney grew up in Marceline Missouri with a fascination for trains. That joy and wonder turned into a larger idea. Walt Disney decided that he wanted to build a theme park and call it Disneyland. While he began thinking about this before World War II even started, plans were put on hold until well after the war was over. During these years Walt Disney never let his dream die; he just expanded that dream to encompass his love of trains and his desire for a theme park.

In 1953 the search was on for the land needed for the planned Magic Kingdom, named Disneyland; which would include a railroad track, rivers, lakes, a ride for children with flying elephants, and a beautiful castle. Walt Disney's dreams were big but he was not an incredibly wealthy man; so needed to find land to encompass his dreams at a good price and the location had to be just right.

The site for Disneyland was finally found. A 160-acre Orange Grove in Anaheim California was for sal, and the price was something Walt Disney could afford. Unable to get financing because bankers don't finance dreams, Mr. Disney had to come up with alternate plan to help him make this dream possible. It was then that Walt turned to television. Using his new show 'Walt Disney's Disneyland' was a great way to showcase his plans and dreams for the future; at the same time getting financial support to make the dreams come true.

Now that things were coming together for Walt it was time the begin construction. July 21, 1954 as the start of the construction on what the world now knows as Disneyland.

After working nonstop for a year and dealing with setbacks such as a colorblind worker told to remove only the trees with red ribbons, long hours, and the California heat, finally Disneyland was ready to open.









วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

►One direction 1D◄

One direction


                                                     One Direction



One Direction


One Direction


         
 ช่วงหลายปีมานี้ดูเหมือนว่ากระแสบอยแบนด์เกาหลีมาแรงมากชนิดที่เรียกว่าบุกไปทั่วทุกหัวระแหง ไม่ใช่เฉพาะในไทยแต่โลดแล่นไปไกลถึงยุโรป ทำให้ทางวงการบันเทิงเกาหลีขยันปั้นบอยแบนด์หน้าใหม่ออกมาให้จำกันแทบไม่หวาดไม่ไหว ขณะที่ต้นตำรับบอยแบรนด์อย่างทางฝั่งยุโรปกลับเงียบหาย กลายเป็นศิลปินเดี่ยวหรือเป็นวงดนตรีกันเสียมากกว่า แต่ในที่สุดทางฝั่งตะวันตกก็ส่งบอยแบนด์หนุ่มหล่อมากความสามารถออกมาประชันกับหนุ่มน้อยหน้าใสชาวเกาหลีแล้ว และเราขอแนะนำให้รู้จักวง One direction บอยแบนด์น้องใหม่ที่กำลังมาแรงมากจากอังกฤษ

         
 สำหรับเส้นทางกว่าจะกลายมาเป็นวง One direction เริ่มมาจากการที่รายการ The X Factor 2010 รายการค้นหานักร้องชื่อดังในประเทศอังกฤษ ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้ามาร่วมออดิชั่นในรายการ ซึ่งมีผู้สมัครเข้าร่วมการออดิชั่นครั้งนี้ร่วมแสนคนและผ่านเข้ารอบมากว่า 100 คน แต่ทางรายการต้องคัดเลือกผู้เข้ารอบเพียง 32 คนแบ่งตามประเภท นักร้องชาย นักร้องหญิง นักร้องอายุเกิน 28 และ นักร้องกลุ่ม ประเภทละ 8 คน ทำให้เด็กหนุ่มหน้าใสมากความสามารถพากันตกรอบไปหมดทั้งที่ทั้งหมดต่างมุ่งมั่นฝ่าฝันกันมาหลายอาทิตย์



One Direction


One Direction


One Direction
 และจากเสียงเรียกร้องของผู้ชมรายการที่อยากให้เด็กหนุ่มเหล่านี้กลับมา ทำให้ ไซม่อน โคเวลล์ ในผู้คัดเลือก เข้ามาเลือกเด็ก ๆ ที่น่าสนใจจากเหล่านักร้องชายเดี่ยวมาฟอร์มทีม ไปเข้าร่วมชิงชัยในประเภทกลุ่มแทน ทั้งหมด คน ได้แก่ เลียม เพย์นลู ทอมลินสันไนออล ฮอแรนเซน มาลิกแฮร์รี สไตล์ส จนสุดท้าย และพวกเขาก็กลายเป็น ใน ทีมสุดท้ายของปี 2010 ได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ บนเวทีสุดอลังการของ The X Factor 2010 ซึ่งหลังจากนั้นทางวงก็ได้เซ็นต์สัญญากับค่าย Syco Music ในเครือ Sony Music และเริ่มทำอัลบั้มแรกของพวกเขาในชื่อ Up All Night โดยมีผลงานซิงเกิ้ลแรก What Makes You Beautiful ให้แฟน ๆ ได้ฟังกัน และ ซิงเกิ้ลนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนสามารถทะยานขึ้นอันดับ ในหลาย ๆ ชาร์ตของเกาะอังกฤษอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ความนิยมของพวกเขากำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาได้ปล่อยซิงเกิ้ลที่สอง Gotta Be You รวมทั้งมิวสิควิดีโอตัวที่ 3  One Thing ออกมากระชากใจแฟนคลับไปทั่วยุโรป

         
 แต่กระแสความร้อนแรงของบอยแบนด์กลุ่มนี้ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเมื่อต้นปี 2012 หนุ่ม ๆ วง One Direction ได้บุกไปตีตลาดสหรัฐอเมริกาเพื่อโปรโมทวงพร้อมทัวร์คอนเสิร์ตท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแฟน ๆ ในอเมริกา อีกทั้งนิตยสารวัยรุ่น รวมไปถึงรายการโทรทัศน์ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์กันอย่างล้นหลาม แถมยังมีโอกาสร่วมแสดงในซีรี่ส์ iCarly รายการโทรทัศน์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย


ประวัติสมาชิก วง One Direction 




ชื่อ : เลียม เพย์น (Liam Payne)
วันเกิด :  29 สิงหาคม ปี พ.ศ. 2536
อายุ : 18 ปี 
สถานที่เกิด : Wolverhampton
สถานศึกษา : Wolverhampton College
Twitter : @Real_Liam_Payne

 

ชื่อ : ลูอิส ทอมลินสัน (Louis Tomlinson)
วันเกิด : 24 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2534
อายุ : 20 ปี 
สถานที่เกิด : Doncaster
สถานศึกษา : Hall Cross School
Twitter : @Louis_Tomlinson



ชื่อ : ไนออล ฮอแรน (Niall Horan) 
วันเกิด : 13 กันยายน ปี พ.ศ. 2536
อายุ : 18 ปี
สถานที่เกิด : Mullinger Westmeath ประเทศไอร์แลนด์
สถานศึกษา : Coláiste Mhuire, Mullingar
Twitter :  @NiallOfficial




ชื่อ : เซน มาลิก (Zayn Malik)
วันเกิด : 12 มกราคม ปี พ.ศ. 2536
อายุ : 19 ปี 
สถานที่เกิด : East Bowling, Bradford
สถานศึกษา : Tong High School
Twitter : @zaynmalik

 

ชื่อ : แฮร์รี สไตล์ส (Harry Styles)
วันเกิด : 1 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2537
อายุ : 18 ปี 
สถานที่เกิด :
 Holmes Chapel, Cheshire
สถานศึกษา : Holmes Chapel Comprehensive School
Twitter : @Harry_Styles